หลังจากที่ความพยายามของพานาโซนิกในการพัฒนากล้องระบบ G-System มาหลายปี ในที่ สุดกล้องรุ่นที่ 3 หรือ “G3” ก็ได้ก้าวเดินเข้าสู่ตำแหน่งกล้อง DSLR ที่ดีที่สุด 10 รุ่นของเรา แน่ นอนว่า สิ่งที่กล้อง Lumix DMC-G3 พัฒนาขึ้นไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพภาพเท่านั้น แต่ยังปรับปรุงใน เรื่องของความเร็วการทำงานที่ดีขึ้นกว่ารุ่น G2 โดยยังคงขนาดตัวกล้องที่กะทัดรัดกว่ากล้อง DSLR ทั่วไปเหมือนเดิม สิ่งสำคัญที่ลืมมาได้คือ กล้องตัวนี้ติดตั้งเซนเซอร์รับภาพ NMOS รุ่นใหม่ ที่มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งเป็นรุ่นที่ปรับปรุงเพิ่มเติมมาจากกล้อง GH2 ที่มีราคา แพงกว่า แถมทางผู้ผลิตเองยังยืนยันว่า ภาพที่ได้จากเซนเซอร์ใหม่นี้จะมีจุดรบกวนน้อยลงด้วย |
|
ในความกะทัดรัดของกล้องก็ยังมีความเหมาะมือในการจับถือและใช้งาน ตัวกล้องมีน้ำหนักเบา จับถือด้วยมือขวาได้กระชับแม้ว่าจะไม่มียางตรงบริเวณกริป การตั้งค่าการถ่ายภาพหรือปรับ แต่งกล้องสามารถทำได้ผ่านทางปุ่มสั่งงานบนตัวเครื่องและจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 3.0 นิ้ว ปุ่มสั่งงานบนตัวเครื่องส่วนหลังนี้สามารถเปิดการใช้งานได้ด้วยปุ่ม “Fn” ส่วนผู้ใช้งานระดับเริ่มต้น ก็อาจจะต้องทำความเข้าใจเล็กน้อยในการควบคุม ถึงกระนั้นก็สามารถหาทางออกง่ายๆ ด้วยการ ขอความช่วยเหลือจากปุ่ม “iA” หรือ intelligent auto ที่อยู่บริเวณด้านบนของกล้อง ฟีเจอร์ของ ปุ่ม “iA” ก็คือ กล้องจะตั้งค่าการถ่ายให้โดยอัตโนมัติตาม Scene ที่เลือกใช้ และสามารถใช้ โหมด “iA –Plus แบบใหม่ในการปรับความชัดลึกชัดตื้น ค่ารูรับแสงและสไตล์สีของภาพก่อนที่จะ ทำการถ่ายภาพ ส่วนฟีเจอร์ที่นิยมในปัจจุบันอย่างการถ่ายภาพพาโนราม่าก็ยังคงไม่มีอยู่ในกล้อง เช่นเดิม |
|
นอกจากนั้นกล้องยังมีระบบโฟกัสแบบติดตามวัตถุที่ใช้งานได้ทั้งในโหมดถ่ายภาพนิ่งและโหมด บันทึกวิดีโอ สำหรับความเร็วในการโฟกัสภาพอัตโนมัติที่ทำงานร่วมกับเลนส์ระยะ 14-42 มิลลิเมตรจะใช้เวลาปรับโฟกัสจนภาพนิ่งใช้เวลาราวๆ 0.33 วินาที ซึ่งเร็วพอๆ กับกล้อง EOS 1100D ที่โฟกัสผ่านช่องมองภาพเลยทีเดียว และเมื่อพิจารณาความสามารถด้านวิดีโอ เราพบว่า กล้อง Lumix DMC-G3 ทำได้ดีกว่ากล้อง Mirror less ในระดับราคาเดียวกัน โดยกล้องรองรับ การบันทึกวิดีโอระดับ Full HD บันทึกเสียงระบบสเตอริโอ แต่ก็ยังมีคุณสมบัติที่ห่างจากกล้อง GH2 อยู่เช่นกันในเรื่องช่องต่อไมโครโฟนและการถ่ายวิดีโอด้วยความเร็ว 50 ภาพต่อวินาที |
|
สำหรับจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 3 นิ้วมีส่วนช่วยให้การควบคุม กล้องอย่างมาก ผู้ใช้สามารถทำการโฟกัสได้ด้วยการสัมผัสลงไปบน หน้าจอ แม้ว่าฟังก์ชันนี้จะมีมาตั้งแต่รุ่นที่แล้วก็ตาม แต่ในตัวกล้องรุ่น ใหม่นี้ สามารถเลือกจุดโฟกัสที่ต้องการบนหน้าจอได้ทันที แต่ที่เรา ประทับใจคือ การโฟกัสอัตโนมัติแบบจุด (Point Mode) ซึ่งหลังจาก ที่เลือกจุดโฟกัสแล้ว กล้องขยายตำแหน่งโฟกัสจุดนั้นขึ้นมาและแสดง ความคมชัดที่เลือกเอาไว้ให้เราเห็นบนจอแสดงผล ทำให้สามารถ ตรวจสอบความคมชัดได้ง่าย เช่นเดียวกันในการโฟกัสแบบแมนนวล จะเป็นการทำงานแบบคู่ขนาน โดยผู้ใช้จะต้องเลือกจุดโฟกัสที่ต้อง การบนจอภาพ จากนั้นกล้องจะขยายภาพ ณ จุดนั้น ขึ้นมา เพื่อให้เราหมุนวงแหวนโฟกัสของกล้องจนมีความคมชัดสูงสุด
|
|
| ส่วนเรื่องคุณภาพภาพก็พัฒนาจากกล้อง G2 อย่างชัดเจน โดยปริมาณจุดรบกวนที่ค่าความไวแสง ISO 400 น้อยกว่า กล้องรุ่นก่อนถึงครึ่งหนึ่ง ขณะที่ค่า ISO 1600 ภาพมี จุดรบกวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้ภาพถ่ายยังมี ความละเอียดที่สูง โดยภาพที่ถ่ายด้วยค่า ISO 160 จะมี ความละเอียดเส้นถึง 1,590 เส้น ซึ่งถือว่าดีมาก แม้ว่าจะ เพิ่มค่าความไวแสงขึ้นไปก็ยังทำให้ความละเอียดลดลงมา ไม่มากนัก ถือได้ว่า คุณภาพของกล้องรุ่น 3 ของพานาโซนิ กตัวนี้แทบจะไม่ด้อยไปกว่าภาพจากกล้อง DSLR เลย | |
|
บทสรุปและความคิดเห็นของ CHIP พานา โซนิกได้พัฒนากล้อง Lumix DMC-G3 จนให้คุณภาพภาพ เทียบชั้นได้กับกล้อง DSLR แล้วซึ่งถือว่าเป็นอีกจุดที่ประสบความ สำเร็จอย่างมาก ขณะที่การควบคุมที่ผสมผสานกับระบบสั่งงานหน้า จอก็ช่วยให้การใช้งานกล้องเป็น ไปอย่างสะดวกกว่าการควบคุมด้วย ปุ่มสั่งงาน ส่วนการพับหมุนของจอภาพก็ช่วยให้การถ่ายภาพในมุม แปลก หรือการถ่ายวิดีโอทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกกว่ากล้อง DSLR ในระดับราคาเดียวกันอย่างแน่นอน ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อบกพร่องใน เรื่องแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ไม่นานนัก |
|
|
|
No comments:
Post a Comment